ความวิตกกังวลทางการกีฬา
(Anxiety in Sport)
ทฤษฎีความวิตกกังวลทางการกีฬา
ความวิตกกังวลและความสามารถในการแสดงออกของนักกีฬามีส่วนสัมพันธ์กัน
โดยอธิบายได้ด้วยทฤษฎีความวิตกกังวลที่มีลักษณะเป็นมิติเดียว(Unidimensional theories) ซึ่งประกอบด้วย
2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีแรงขับ (Drive
theory)ความวิตกกังวลทางการกีฬา(Anxiety in Sport) และทฤษฎีอักษร
ยู คว่ำ (Inverted – u –
theory) และทฤษฎีความวิตกกังวลตามสถานการณ์แบบหลายมิติ
(Multidimensional
anxiety theory) โดยสรุป มาพอสังเขปดังต่อไปนี้คือ
1.ทฤษฎีแรงขับ(Drive theory)
ทฤษฎีแรงขับของ ฮัลล์
เป็นการอธิบายระดับความวิตกกังวลว่าเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความสามารถ
ถ้านักกีฬามีความวิตกกังวลต่ำจะมีความสามารถต่ำและหากนักกีฬามีความวิตกกังวลสูงจะมีความสามารถสูงทฤษฎีนี้มักใช้อธิบายในนักกีฬาประเภทที่ต้องการความแข็งแรง
และมีการใช้พลังงานมากๆเช่น นักกีฬายกน้ำหนัก และนักกีฬาอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน
ทฤษฎีแรงขับได้รับความนิยมจากนักวิจัยจำนวนมากในช่วงปี ค.ศ.1943 – ค.ศ.1970
แต่หลังจากนั้นได้รับความนิยมน้อยลงเนื่องจากมีความยากในการทดสอบ
และผลการทดสอบที่ได้มักขัดแย้งระหว่างรากฐานของทฤษฎีกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
2.ทฤษฎีอักษรยูคว่ำ(Inverted–u–theory)
ทฤษฎีอักษร ยู คว่ำ
เป็นการอธิบายระดับความวิตกกังวลว่าหากมีระดับความวิตกกังวลต่ำมากหรือสูงมากจะทำให้มีความสามารถต่ำ
แต่หากมีระดับความวิตกกังวลที่เหมาะสมจะทำให้มีความสามารถสูง (ภาพที่ 13)
ซึ่งทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับในการนำไปใช้อธิบายความวิตกกังวลในการแข่งขันกีฬา
หากนักกีฬาสามารถควบคุมระดับความวิตกกังวลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะส่งผลให้นักกีฬาแสดงความสามารถทางการกีฬาได้สูงสุด
หากนักกีฬาไม่สามารถควบคุมระดับความวิตกกังวลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้จะเป็นผลให้ประสิทธิภาพของการแสดงความสามารถทางการกีฬาลดลง
ดังนั้นก่อนการแข่งขันหรือระหว่างการแข่งขันนักกีฬาต้องสามารถควบคุมระดับความวิตกกังวลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อมุ่งหวังให้มีการแสดงความสามารถทางการกีฬาสูงสุด
ทฤษฎีแรงขับและทฤษฎีอักษร ยู คว่ำ
เป็นการอธิบายระดับความวิตกกังวลกับความสามารถทางการกีฬาในลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างกันนอกจากการอธิบายความวิตกกังวลที่มีลักษณะเป็นมิติเดียวแล้วยังสามารถอธิบายความวิตกกังวลตามสถานการณ์แบบหลายมิติได้
ดังต่อไปนี้ตามทฤษฎีความวิตกกังวลตามสถานการณ์แบบหลายมิติของมาร์เทนส์และคณะ
แบ่งมิติของความวิตกกังวลออกเป็นความวิตกกังวลทางจิตใจ เช่น ความพะวงว่าจะแพ้ไม่สามารถทำได้อย่างที่หวังไว้
ความวิตกกังวลทางร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อตึงเครียด เหงื่อออก
หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ และมิติความเชื่อมั่นในตนเอง เช่น เชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถทำได้
จากทฤษฎีดังกล่าวพบว่าความวิตกกังวลและความเชื่อมั่นในตนเองมีความสัมพันธ์ในทางตรงข้ามกัน
หมายความว่าหากระดับความวิตกกังวลสูงจะส่งผลให้ระดับความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ
เช่นเดียวกันเมื่อระดับความวิตกกังวลต่ำจะส่งผลให้ระดับความเชื่อมั่นในตนเองสูง
นอกจากนั้นแล้วยังพบว่าเมื่อนักกีฬามีระดับความวิตกกังวลทางจิตใจสูงความสามารถทางการกีฬาจะลดลง
แต่เมื่อนักกีฬามีระดับความวิตกกังวลทางร่างกายเหมาะสมจะส่งผลให้ความสามารถทางการกีฬาสูงขึ้นและหากนักกีฬามีระดับความเชื่อมั่นในตนเองสูงความสามารถทางการกีฬาจะสูงด้วยอีกทั้งยังพบว่าระดับความวิตกกังวลทางจิตใจมีความสัมพันธ์กับความสามารถทางการกีฬาในลักษณะเส้นตรงเชิงลบ
ส่วนความวิตกกังวลทางร่างกายมีความสัมพันธ์กับความสามารถทางการกีฬาในลักษณะระฆังคว่ำ
ส่วนความเชื่อมั่นในตนเองมีความสัมพันธ์กับความสามารถทางการกีฬาในลักษณะเส้นตรงเชิงบวกนอกจากทฤษฎีความวิตกกังวลทางการกีฬาที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
ยังมีแนวคิด
ซึ่งเกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลทางการกีฬาในแง่มุมที่แตกต่างออกไป
คือ มุม มองของความวิตกกังวลที่ไม่ใช่การประเมินเพียงระดับความมากน้อยของความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นเท่านั้น
แต่ให้ความสนใจกับความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลดีหรือไม่ดีต่อความสามารถทางการกีฬา
ซึ่งการอธิบายข้อค้นพบนี้กล่าวถึงความวิตกกังวลในลักษณะความเข้มและทิศทาง
โดยพบว่าระดับความวิตกกังวลที่แสดงในลักษณะของความเข้มเพียงอย่างเดียวไม่ครอบคลุมการอธิบายความวิตกกังวลของนักกีฬาทั้งหมดจึงได้เสนอการตอบสนองต่อความวิตกกังวลลักษณะทิศทาง
(Direction anxiety)ซึ่งประกอบด้วย
ความวิตกกังวลที่ส่งผลดีต่อความสามารถทางการกีฬา (Facilitative)และความวิตกกังวลที่ส่งผลไม่ดีต่อความสามารถทางการกีฬา
(Debilitative) ร่วมด้วยความวิตกกังวลลักษณะทิศทาง
เน้นการรับรู้สภาพอารมณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีผลต่อความสามารถทางการกีฬาอย่างไร
โดยกำหนดรูปแบบความวิตกกังวลที่ส่งผลดีและส่งผลไม่ดีต่อความสามารถทางการกีฬา ที่อยู่บนหลักของการตอบสนองต่อความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในแต่ละคนว่าย่อมมีความแตกต่างกันออกไปตามความรู้สึกนึกคิด
บางคนคิดว่าความวิตกกังวลนั้นเป็นสิ่งที่ดีกับตัวเองในขณะที่บางคนไม่ได้คิดเช่นนั้น
อ้างอิง : ชื่อหนังสือ จิตวิทยาการกีฬา ปีที่พิมพ์ 2556
จัดพิมพ์โดย กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น