ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ปัญหาและอุปสรรคของการออกกำลังกายในคนอ้วน



ปัญหาและอุปสรรคของการออกกำลังกายในคนอ้วน



1. ปัญหาทางด้านแรงจูงใจและความร่วมมือของผู้ป่วย

            เป็นปัญหาใหญ่และเป็นเหตุให้เกิดความล้มเหลวในด้านการรักษาสูง ในความคิดของคนทั่วไปเมื่อพูดถึงการออกกำลังกายจะถือว่าเป็นของยุ่งยาก กระทำได้ยาก ไม่มีเวลาพอ หรือออกกำลังกายแล้วเหนื่อย แม้จะรู้ถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายหรือมีประสบการณ์มาแล้วด้วยตนเอง โดยพบว่าตนเองมีสุภาพดีขึ้นภายหลังจากที่ได้ออยกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ในที่สุดก็มักจะเลิกราตามระยะเวลาที่ผ่านไป ปัญหาในเรื่องแรงจูงใจ เวลา และ ความสม่ำเสมอในการออกกำลังกายนั้นถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคอ้วน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยเป้าหมายอันได้แก่ผู้ป่วยอ้วนวัยกลางคนที่มักจะติดภารกิจการงานต่างๆมากมายกระทั่วไม่สามารถแบ่งเวลามาได้ ทั้งนี้เนื่องจากโปรแกรมการออกกลังกายภายหลบังการออกกำลังกายที่จะมีผลในการควบคุมน้ำหนักนั้นต้องใช้เวลาครั้งละ 1 ชั่วโมงเป็นจำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งเมื่อรวมกับเวลาที่ต้องเสียงไปในการเดินทาง การเปลี่ยนเสื้อผ้า การชะล้างร่างกายหลังออกกำลังกายและอื่นๆอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ก็นับเป็นการสิ้นเปลืองเวลาพอสมควร เป็นเหตุให้ผู้ป่วยไม่สามารถเช้าร่วมโปรแกรมได้อย่างสม่ำเสมอ ในกรณีเช่นนี้อาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นโปรแกรมการออกกำลังกายง่ายๆที่ผู้ป่วยสามารถนำไปปฏิบัติเองได้ในที่ทำงานหรือที่บ้านโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางก็น่าจะเหมาะสมกว่า แม้ประสิทธิภาพจะลดน้อยถอยลงบ้างก็ตาม

2. ปัญหาทางสุขภาพ

            ควรประเมินสุขภาพก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อความปลอดภัยระหว่างออกกำลังกาย โดยการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียด ทำการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น เช่น ตรวจหาระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ตรวจคลื่นหัวใจ ถ่ายภาพรังสีปอด และวัดสมรรถภาพปอด เนื่องจากคนอ้วนมักจะเสี่ยงต่อการมีโรคหรือภาวะที่เป็นข้อห้ามในการออกกำลังกายอยู่หลายอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวานที่ยังไม่ได้รับการรักษา รวมถึงยาบางชนิดที่ผู้ป่วยใช้อยู่เป็นประจำก็มีความสำคัญและอาจต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมก่อนเริ่มเข้าโปรแกรม เช่นผู้ป่วยเบาหวานทีใช้ insulin อยู่ อาจต้องได้รับการปรับขนาดและวิธีการใช้ใหม่เพื่อไม่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขณออกกำลังกาย หรือผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทีได้รับการรักษาด้วย beta blockers อยู่ อาจต้องปรับเปลี่ยนโปรแกรมให้เหมาะสมเนื่องจากอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้อาจต้องประเมินสมรรถภาพทางหัวใจและหลอดเลือด สมรรถภาพปอด และความพร้อมทางร่างกายว่าจะออกกำลังกายได้มากน้อยเพียงใดโดยการทำ exercise test ก่อนจัดโปรแกรมให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆไป
            
           ปัญหาทางด้านกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อน่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บการการออกกำลังกายง่ายจากการที่มีน้ำหนักตัวมาก แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องในระหว่างออกกำลังกาย มีการอบอุ่นร่างกายที่เหมาะสม มีการผ่อนคลายก่อนหยุดออกกำลังกาย เลือกประเภทการออกกำลังกายได้เหมาะสม มีการใช้อุปกรณ์ช่วย หรือสวมรองเท้าที่เหมาะสม ก็จะช่วยลดอุบัติการณ์ของการบาดเจ็บลงได้ แต่เหตุการณ์มักจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามมากกว่า กล่าวคือคนอ้วนมักจะมีอุปนิสัยที่เฉื่อยชาอยู่แล้ว ไม่ค่อยเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนแม้กระทั่งจะขยับตัวเพื่อประกอบกิจวัตรประจำวันก็ตาม และยิ่งในรายที่อ้วนมากๆด้วยแล้วอาจถึงกับกินและนอนอยู่กับที่ทั้งวัน

ประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสมในคนอ้วน

            เนื่องจากข้อจำกัดทางกายวิภาคและสรีรวิทยาของคนอ้วน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแนะนำให้คนอ้วนออกกำลังกายชนิดเดียวกันกับที่คนทั่วไปนิยมไม่ว่าจะเป็น  วิ่งเหยาะๆ เต้นแอโรบิก ปั่นจักรยาน หรือเล่นเกมส์ที่ใช้ลูกบอล และยังก่อให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีก  โปรแกรมที่ใช้ในผู้ป่วยอ้วนมักเป็นการออกกำลังกายในลักษณะที่เพิ่มความหนักขึ้นช้าๆ (progressive intensity exercise programs) เพื่อให้ร่างกายมีเวลเพียงพอในการปรับตัวก่อนที่จะเข้าสู่โปรแกรมการออกกำลังกายตามปกติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานาน 1-2 เดือนหรือจะมากกว่านั้นก็ได้ ไม่ควรใช้โปรแกรมแบบหักโหมขณะที่สภาพร่างกายยังไม่เคยชิน ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุภาพแล้วยังอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความท้อแท้และหมดกำลังใจเลิกราไปเสียก่อนเมื่อปฏิบัติไม่ได้ตามที่กำหนด ในรายที่อ้วนมากๆอาจเริ่มต้นด้วยกายบริหารว่ายๆที่ทำได้ทั้งในท่านั่งหรือท่านอนหรือยืนอยู่กับที่ เช่น การยกแขน ยกขา แกว่งแขน บิดตัวไปมาหรือบริหารร่างกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อ (stretching exercise) กระทั่งผู่ป่วยเกิดความเคยชิน จากนั้นจึงค่อยเพิ่มความหนัก (intensity) และเวลา (duration) ขึ้นที่ละน้อยกระทั่งเข้าสู่โปรแกรมตามปกติ จะใช้การออกกำลังกายประเภทใดก็ให้พิจารณาตามสมรรถภาพทางกาย ความพร้อม ความชอบ และความสะดวกของผู้ป่วย เช่น ให้เดินเร็วๆบนสายพานหมุน ปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือเล่นเกมส์ที่ต้องใช้ผู้เล่นเป็นทีมเพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและเข้าสังคมได้ดีขึ้น หรือถ้าหากสถานที่อำนวย การออกกำลังกายในน้ำ เช่น เดินในน้ำ วิ่งในน้ำ หรือว่ายน้ำก็นับว่าเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนอ้วน เพราะน้ำจะช่วยพยุตัวผู้ป่วยไว้ ลดแรงกระแทกที่ข้อต่อ ป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ  อย่างไรก็ตามปัญหาของการออกกำลังกายในน้ำในคนอ้วนมัจะไม่ได้อยู่ที่ว่ายน้ำเป็นหรือไม่ แต่อยู่ทีผู้ป่วยมักจะอาจไม่กล้าสวมชุดว่ายน้ำมากกว่า  แต่สำหรับรายที่ว่ายน้ำเป็นก็อาจมีข้อจำกัดอยู่บ้างคือจะไม่สามารถใช้สมรรภาพทางกายอย่างเต็มที่ในการออกกำลังกาย เนื่องจากไขมันที่พอกอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายจะทำหน้ที่เสมือนทุ่นที่พยุงให้คนอ้วนลอยน้ำ คล้ายกับได้สวมชูชีพว่ายน้ำอยู่ตลอดเวลา ในคนอ้วนที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูงต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงเบ่ง เช่น การยกน้ำหนัก (weight lifting) หรือหวดแรงๆ เช่น การตีเทนนิส เพราะจะทำให้โรคเลวลงและอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้  แต่ในรายที่ไม่มีข้อห้ามอาจให้ยกน้ำหนักได้เบาๆ เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่วมกับการออกกำลังกายชนิดแอโรบิกดังที่กล่าวมาแล้ว

ข้อควรพิจารณา

1.       คนอ้วนมักจะอาย ขาดความมั่นใจในการออกกำลังกาย และมีแนวโน้มที่จะแยกตัวจากสังคมอยู่แล้ว โปรแกรมการออกกำลังกายควรกระทำไปในทิศทางตรงกันข้ามคือจะต้องกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้ผู้ป่วยมีการอยู่ร่วมกับหมู่คณะมากขึ้น พยายามอย่าให้ผู้ป่วยแยกตัวออกจากกลุ่ม จัดโปรแกรมที่เหมาะสมและเป็นไปได้ให้กับผู้ป่วย เพื่อสร้างความมั่นใจและทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น
2.       ควรจัดให้มีชุดการออกกำลังกายที่เหมาะสม เน้นการักษาสุขลักษณะส่วนตัว รักษาความสะอาดของร่างกายภายหลังออกกำลังกาย จัดรองเท้าให้เหมาะสมซึ่งอาจจะต้องเปลี่ยนบ่อยกว่าปกติเพราะจะสึกเร็ว เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดจากการสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม
3.       คนอ้วนจะมีปัญหาในเรื่องการระบายความร้อนออกจากร่างกายและขาดน้ำได้ง่าย จึงควรแนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการออกกำลังกาย
4.       การปรับเปลี่ยนโปรแกรมการออกกำลังกายจะต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ว่าจะเป็นความหนักหรือระยะเวลาในการออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อ เช่น บริเวณต้นขา หน้าท้อง หรือ ท้องแขน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการออกกำลังกายได้ เช่น ผิวหนังส่วนเกินอาจแกว่งไปมาขณะวิ่ง กรณีเช่นนี้อาจต้องพันไว้ด้วยผ้ายืดเพื่อให้แนบไว้กับตัว หรือถ้าผิวหนังหย่อนยานมากอาจต้องใช้ศัลกรรมตัดผิวหนังส่วนเกินออก

สรุป

            การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาโรคอ้วนที่ควรใช้ควบคู่ไปกับการจำกัดอาหาร ถึงแม้ว่าจะไม่หวังผลในแง่การลดน้ำหนักหรือไขมันส่วนเกินมากนัก แต่มีประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด สามารถลดความรุนแรงของโรคต่างๆที่พบได้บ่อยในคนอ้วน มีผลดีทางจิตใจและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคม โปรแกรมการออกกำลังกายควรจัดให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆไป โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ความพร้อม ความชอบ และความสะดวกของผู้ป่วยเป็นสำคัญ พร้อมให้คำแนะนำเฝ้าระวังและติดตามการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจและสามารถดำเนินโปรแกรมด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ








อ้างอิง :  รัตนวดี  ณ นคร. โรคทั่วไปที่เป็นปัญหาในการออกกำลังกาย. ใน: วิรุฬห์ เหล่าภัทรเกษม, บก. กีฬาเวชศาสตร์. กรุงเทพฯ : พี.บี. บุคส์ เซนเตอร์, 2537 : 177 98
                Parizkova J and Hainer V. Exercise in growing and adult obese individuals. In Torg JS, Welsh RP, and Shephard RJ, eds. Current therapy in sport medicine-2. B.C. Philadelphia: Decker Inc., 1990: 22-26
รูปภาพ : http://www.proflexy.com/en/blog/3535/blog-3535

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ลักษณะบุคลิกภาพของการเป็นนักกีฬาที่ดี

ลักษณะบุคลิกภาพของการเป็นนักกีฬาที่ดี นักกีฬาที่ต้องการประสบความสำเร็จทางการกีฬาและมีความสุข ในการดำเนินชีวิต ควรมีลักษณะบุคลิกภาพที่ดี ดังต่อไปนี้ 1. มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ 2. มีจิตใจเบิกบาน ยิ้มง่าย มีอารมณ์ขันอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์มองโลกในแง่ดี 3. วาจาสุภาพ ไพเราะ มีมารยาททางสังคม 4. แต่งกายสุภาพ สะอาด เรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะ 5. มีความกระตือรือร้น และกระฉับกระเฉง 6. มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น 7. มีเหตุผลและรู้จักใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจและกระทำสิ่งต่างๆ 8. มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ มีความอดทนอดกลั้น 9. มีความเชื่อมั่นในตนเอง ขณ ะเดียวกันพร้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 10. มีน้ำใจนักกีฬา อ้างอิง :  ชื่อหนังสือ  จิตวิทยาการกีฬา  ปีที่พิมพ์ 2556              จัดพิมพ์โดย  กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative thinking)

การคิดเชิงสร้างสรรค์ ( Creative thinking)   การคิดเชิงสร้างสรรค์ ( Creative thinking) หมายถึง ความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ การขยายขอบเขตความคิดออกไปจากกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ สู่ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม เป็นความคิดที่หลากหลาย คิดได้กว้างไกล หลายแง่หลายมุม เน้นทั้งปริมาณและคุณภาพ องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ไม่เคยมีมาก่อน ( New Original) ใช้การได้ ( Workable) และมีความเหมาะสม ( Appropriate) การคิดเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นการคิดเพื่อการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเดิมไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงหรือที่เรียกว่า "นวัตกรรม" ( Innovation) ความคิดสร้างสรรค์ มีความหมายแยกได้เป็น 3 ประเด็นหลัก คือ 1. เป็นความคิดแง่บวก หรือ Positive thinking 2. เป็นการกระทำที่ไม่ทำร้ายใคร หรือ Constructive thinking 3. เป็นการคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือ Creative thinking วิธีการฝึกเพื่อพัฒนาศักยภาพการคิดสร้างสรรค์ ม

Aggressive in sport(ความก้าวร้าวทางการกีฬา)

ความก้าวร้าวทางการกีฬา ( Aggressive in sport)         ความก้าวร้าวทางการกีฬา เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะและการให้ความหมายของความก้าวร้าวทางการกีฬา เพราะหากกล่าวถึงความก้าวร้าวเพียงอย่างเดียวย่อมหมายถึงพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรุนแรงเป็นพฤติกรรมที่ ไม่พึงประสงค์เท่านั้น แต่ในทางการกีฬามีลักษณะการแสดงออกบางประการจัดอยู่ในกลุ่มลักษณะความก้าวร้าวเพียงแต่ไม่มีเจตนาที่ตั้งใจให้เกิดอันตรายหรือการบาดเจ็บอย่างสาหัส การทำความเข้าใจกับความหมายของความก้าวร้าวช่วยลดปัญหาความเข้าใจผิดต่างๆ ได้อย่างมากคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการที่คนอื่นมีความคิดเห็นแตกต่างกับเรา การมีความคิดลบหรือความปรารถนาให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บคือความหมายของความก้าวร้าวซึ่งความก้าวร้าวไม่ใช่ลักษณะของความรู้สึก เช่น ความโกรธหรือสภาวะทางอารมณ์อื่นๆ แต่ความก้าวร้าวเป็นลักษณะของพฤติกรรม ลักษณะของความก้าวร้าว ในทางการกีฬาแบ่งลักษณะของความก้าวร้าวที่เกิดขึ้นเป็น 3 ลักษณะคือ    1. พฤติกรรมความก้าวร้าวแบบโกรธแค้นหรือตั้งใจท ำร้าย เป็น ความก้าวร้าวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์ทรม